ก่อนจะอ่านตอนนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก เชิญเสพย์ตอนแรกตามลิ้งด้านล่างก่อนเพื่อความต่อเนื่องครับ เพราะรายละเอียดการเดินทาง ข้อมูล และความฟินของ Road Trip Norway รวมไปถึงจุดเริ่มต้นที่ Iceland อยู่ตอนแรกหมดเลย
> ตอนที่ 1 :http://www.scratchdaworld.com/?p=10176
ในส่วนของตอนที่สองนี้ เราจะมาต่อให้จบ กับแสงเหนือที่ยังไม่ได้พบ และธรรมชาติอันเหลือเชื่อของประเทศ Iceland โดยพวกข้อมูลการเดินทาง และอื่นๆ จะอยู่ในตอนแรกทั้งหมดนะครับ ^^
อ่ะ พร้อมแล้วก็ไปต่อกันเลย!
________________________________________________
สามารถติดตามข่าวสาร ข้อมูล รีวิวการเดินทางโดนๆได้ที่
สองเท้า – เกาโลก
Fanpage : https://www.facebook.com/scratchdaworld
Instagram : https://www.instagram.com/scratch_da_world/
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCza3CAqJyecM2AGjxiV_pSQ
_________________________________________________
อุปกรณ์
กล้อง Nikon D800E
เลนส์ของ Nikon ทั้งหมดครับ
– เลนส์ Fix 58 , F1.4
– เลนส์ Wide 16-35 , F4
– เลนส์ Tele 70-200 , F2.8
________________________________________________
Day 8 ยังคงอยู่ใน Iceland อีกหลายวัน
ชีวิตดี เมื่อฟ้ามีใจ ..
เช้าวันใหม่ วันที่ 8 ของการเดินทาง หลังจัดการกับอาหารเช้าแบบเรียบง่าย ด้วยการหุงข้าง เวฟไก่ แล้วใส่อาหารซองจากประเทศไทยลงไปในถ้วย ต่อด้วยการจ้วงอาหารแบบหมู่คณะของชายฉกรรจ์ 7 คนได้ผ่านไป เราก็ออกเดินทางทันที
และสถานที่แรกในวันนี้คือที่นี่ครับ หน้าผา Dyrholaey อีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยม เพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากถนนเส้นหลักคืออทางเข้าอยู่ข้างถนน ไม่ต้องเดินให้เมื่อย ( นึกถึงตอนเดินกลับจากซากเครื่องบินแล้วเพลีย 55 ) ลักษณะเด่นของที่นี่ คือเป็นหินที่ก่อตัวเป็นรูปโค้ง มีทางลอดตรงกลางซึ่งการโค้งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟในอดีตเรียกว่าเคปพอร์ตแลนด์ จุดเด่นของที่นี่คือ หาดลาวาสีดำสนิท ทอดตัวยาวหลายสิบกิโลโมตรอยู่เบื้องล่างอย่างที่เห็นในรูป
ส่วนหินรูปโค้งมีรูโห่วตรงกลาง เดี๋ยวจะพาไปครับ … เพราะเราจะต้องผ่านมมุมนี้ก่อน ผมชอบมาก สวยจริงๆ ให้ตายเหอะ ทะเลสีฟ้า หาดทรายสีดำ หิมะ ขุนเขา พื้นดิน ริมผา นี่คือการหลอมรวมกันของธรรมชาติที่ลงตัวชนิดนึง ซึ่งใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายๆ
ด้านบนนี้ยังมีป้อมประภาคารสุดคลาสสิกตั้งอยู่ริมน้ำมาเป็นแลนมาร์คอีกด้วย … ช่วงที่เราไปคือพระอาทิตย์จะขึ้นประมาณ 9-10 โมง ถือว่าช้ามาก อารมณ์เหมือนคนมาทำงานสาย แต่นี่ก็อาจจะเป็นข้อดีของคนที่ชอบตื่นสาย เพราะคุณไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เนื่องจากยังไงก็มืด กว่าจะเริ่มสว่างก็ปาไปแปดเก้าโมงนู่นน 555
เราเดินเก็บภาพกันไปเรื่อยๆ อากาศที่หนาวจับใจ ไม่สามารถทำอะไรความฟินของเราได้ .. และแล้วพี่เค้าก็มาทำงานนเสียที
สวัสดีหลอดไฟของโลก …
ตรงนั้นแหละครับหินรูปโค้งที่มีรูโห่วตรงกลาง หนึ่งในสัญลักษณ์ของ Dyrholaey
ฟ้าใสอะไรเบอร์นี้ !! ดีงามมาก อากาศช่วงที่ผมไปถือว่าลงตัวทุกวัน สิ่งเดียวที่ยังต้องลุ้นคือแสงเหนือ ว่าจะได้เห้นมากน้อยแค่ไหนอะไรยังไง
แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังเห็นก็สวยงามเช่นกัน .. เส้นขอบฟ้า พระอาทิตย์ แสงอ่อนๆ กับท้องทะเล
อีกฝั่งนึงก็จะมีความอลังการของขุนเขาและทะเลสาบ เข้ามาเพิ่มเติมรสชาติให้กับชีวิตอีกกก ที่นี่ขอบอกเลยว่าฟินระดับเซอร์ราวด์รอบทิศทางครับท่านผู้โชมม
หากกระบี่มีทะเลแหวก .. ที่นี่ก็มีแหวกทะเล ( มุขอะไรของเมิงเนี่ย ) นี่คือหาดทรายสีดำบริเวณ Dyrholaey อีกมุมนึงงงที่คั่นกลางระหว่างผืนน้ำ สวยยยงามไหมล่ะ
ทุกครั้งที่ได้มองไปยังท้องฟ้าที่ไม่มีจุดสิ้นสุดท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม … เวลามักจะผ่านไปเร็วกว่าที่เคย ยืนมองอยู่เฉยๆ ปล่อยตัวปล่อยใจไม่คิดอะไร อยู่ดีๆ ก็ผ่านไปแล้วเกือบ 10 นาที
สเน่ห์ของท้องฟ้า และแรงดึงดูดของธรรมชาติ คือความหมัศจรรย์ของโลกใบนี้มอบให้ ..
7 ชายฉกรรจ์จากแดนไทย กับสถานที่ดีต่อใจในยามเช้า
อ่ะ ฟินจนไม่รู้จะบ่นออกมาเป็นคำพูดยังไงละ ไปต่อคร้าบบ !!
จากจุดเมื่อกี้ ใกล้ๆ กัน จะเป็นแท่งหินสุดแปลกตาที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมชายหาดสีดำ … รู้มั้ยครับ ว่าทำไมหาดทรายเหล่านี้ถึงไม่โอโม่เป็นคอฟฟี่เมทเหมือนบ้านเรา ?
หาดสีดำเหล่านี้เกิดจากการสึกกร่อนของหินลาวาและแนวหินบะซอลต์ที่ทับถมกันมายาวนานจนกลายมาเป็นหาดทรายสีดำแปลกตาอย่างที่เห็น …
กดชัดเตอร์ไม่ถูกเลยครับ สวยไปหมด ><
สวยยยไม่เหมือนใครจริงๆ ธรรมชาติของประเทศ Iceland
จากนั้นก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ เอาล่ะ มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่เราไม่ควรพลาดเมื่ออนุญาติตัวเองให้เข้าสู่ประเทศนี้ และขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ ….
” ม้า K-pop rock & roll ขวัญใจมหาชน !! ”
อาจจะสงสัย ว่าทำไมเรียกว่าม้า K-pop … คำตอบอยู่ที่ทรงผมสุดเฟี้ยวฟ้าวของเจ้าพวกนี้ ที่ดูละม้ายคล้ายกับนักร้อง K-pop หรือ Rock & Roll ยังไงยังงั้น หากพวกมันสามารถเป็นพรีเซนเตอร์ได้ ผมเชื่อว่าบรรดาแชมพูยี่ห้อดังคงเซ็นสัญญาจ้างพวกมันไปร่วมงานเป็นแน่
นี่ยังเบาะๆ นะ บางตัวนี่ผมปิดหน้าลงมาถึงปาก จนหลายๆ คนมีคำถามว่า ” แมร่งมองเห้นได้ยังไง ” 5555
บางตัวเชื่องมาก และสู้คน … ไม่ได้หมายถึงมาทำร้ายเรานะ แต่คือพอมันเห็นเราเดินเข้าไป มันก็จะเดินมาหามาเล่นด้วยยย น่ารักมากกกกก
ระหว่างทางเจอโบสถ์แปลกหน้า ก็เลยขอคนหน้าแปลกเข้าไปเป็นแบบเสียหน่อย ><
สถานที่ถัดมา ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันชื่อว่า Reynisfjara Black Sand Beach หรือ หาดทรายดำแห่งไอซ์แลนด์ ซึ่งถูกจัดอันดับว่าเป็นหาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก !! สวยจริงๆ แหละ ทิวทัศน์ภาพรวมบริเวณนี้
ผมใช้เวลาที่นี่กันพอสมควร เดินย่ำบนพื้นทราย เงี่ยหูฟังเสียงคลื่น แล้วยืนปะทะกับสายลม อากาศเป็นใจ อะไรก็โดนใจไปซะทั้งหมดดดด
ติดๆกันก็มีแท่งหินบะซอลต์ทรงกระบอกหกเหลี่ยมเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ราวกับเป็นปฏิมากรรมที่ตั้งใจสร้างขึ้นมายังไงยังงั้น แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากธรรมชาติทั้งสิ้น ( แฟนๆ ซี่รี่ส์ดังเรื่อง Game of thrones หรือภาพยนตร์เรื่องโนอาห์ คงคุ้นกับภาพเหล่านี้กันบ้างไม่มากก็น้อย )
ส่วนนี้ คือถ้ำ Hálsanefshellir เป็นอีกสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมักจะเข้ามาชมชั้นหินบะซอลต์ในอีกมุมมองนึง และก็มาตะโกนในถ้ำเพื่อให้เสียงตนเองสะท้อนไปทั่วบริเวณนี้ ใครไปลองดูนะครับ ฮ่าๆ
ช่างเป้นความสวยงามที่แปลกตาดีจริงๆ
ได้เวลาไปต่ออีกครั้ง ช้าไม่ได้ครับ หน้าหนาวแบบนี้ 4 โมงก็จะถูกขับไล่ทางอ้อมโดยหลอดไฟของโลกอย่างละม่อม เพราะจะเริ่มมืดแล้ว เรียกว่านอกจากพี่เค้ามาทำงานสาย ยังเลิกงานเร็วอีก ><
และที่นี่คือ เมือง Vik หมู่บ้านเล็กๆทางตอนใต้สุดของไอซ์แลนด์ ซึ่งก็เล็กจริงๆ โดยเป้าหมายที่เราจะไปกันคือบริเวณโบสถ์ประจำเมืองบนเนินเขายอดแหลมแดงแปร้ดตรงนั้น
และนี่คือวิวจากโบสถ์ประจำเมือง Vik .. ไม่นานนักแสงสุดท้ายก็จากไป โดยไม่ทันได้กล่าวคำอำลากัน เมิงงงรีบกลับบ้านมากกก ><
ในเมื่อพี่พระอาทิตย์กลับแล้ว ก็ได้เวลาของเราที่จะกลับไปพักร่างกันบ้าง จบโปรแกรมประจำวันพอดี … ฟิ้วววว
________________________________________________
Day 9
เช้านี้สีชมพู .. ผมจะได้ไปสัมผัสกับหนึ่งในสุดยอดประสบการณ์
นั่นคือการได้เดินบนธารน้ำแข็งสักครั้งในชีวิตตต !!
แต่ประสบการณ์ที่สุดยอดของระหว่างทาง สามารถหาดูได้จากข้างหน้าต่างทุกวันจากประเทศนี้ อ่ะ ดูสิครับบบบ วิวมันเป็นแบบนี้ทั้งหมดเลยย ง่วงแค่ไหนจะไม่ยอมหลับเป้นอันขาด เสี้ยววินาทีนึงเราอาจจะพลาดอะไรดีๆไปหลาย อย่างก็เป็นได้ … ใครจะรู้ว่าจะได้มาอีกหรือเปล่า
ว่าแต่ เห้ยยย!! นั่นนมันธารน้ำแข็งงงงงง !! สวยยยยอลังมากกกครับ แว้บแรกก็ว้าววว ร้าวไปทั้งหัวใจเสียแล้ววว ><
โดยสถานที่ที่เราจะไปกันคือ อุทยานแห่งชาติสกัฟตาเฟลล์ Skaftafell Nation Park กับความยิ่งใหญ่ของธารน้ำแข็งวัทน่าโยคูลล์ Vatnajokull Glacier ซี่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และใหญ่ที่สุดในยุโรปเท่ากับธารน้ำแข็งทั้งหมดในทวีปยุโรปรวมกัน ธารน้ำแข็งวัทน่าโยคูลล์เป็นธารน้ำแข็งที่เก่าแก่กว่ายุคน้ำแข็งไปอีก 2,500 ปี มีความหนาของน้ำแข็งโดยเฉลี่ยประมาณ 400 เมตรและหนาที่สุดประมาณ 1,000 เมตร !!
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งนะครับ จะมีธารน้ำแข็งอยู่หลายจุดเลย บางแห่งก็เป็นฉากหลังของซีรี่ส์ดังเรื่อง Games of thrones เช่นกัน ซึ่งวันนี้ผมจะได้ไปเหยียบย่ำ เดินอยู่บนธารน้ำแข็งเหล่านี้
แต่เวรกรรม ที่เรามาถึงกันช้าไปนิด ไม่ทันรอบแรกก .. โดยโปรแกรมที่เราจองคือการไปเดินไปธารน้ำแข็ง พ่วงไปกับ Ice cave ทูอินวัน แค่คิดก็มันส์แล้ว เป็นโปรแกรมพ่วงที่ดูคุ้มค่า ในราคารวมๆ ประมาณ 7000 กว่าบาท ผมถามย้ำกับบริษัททัวร์หลายครั้งว่า …
” ถ้ำมันสวยเหมือนในรูปใช่ไหมครับ ? ”
” ใช่ครับ สวยแน่นอน ” พนักงานหนุ่มหนวดหยองตอบกลับมา ได้ฟังแบบนี้ก็ชื่นใจ
หลังจากจองเรียบร้อย เราก็ไปหาสถานที่ฆ่าเวลากันเล่นๆ ..
ใกล้ๆ จากจุดที่เราจอง Glacier walk จะมีเส้นทางเดินไปยัง น้ำตก Svartifoss ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน นั่นจึงเป็นจุดหมายคั่นเวลาระหว่างรอเวลาของพวกเรา ..
ถึงแล้วครับ เรียกว่าหายใจยังไม่ทันเสร็จ … เส้นทางจะเป็นทางเดินง่ายๆ ไปตามทาง มีขึ้นเนินบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชันอะไร ระหว่างทางก็มีความสวยงามของธรรมชาติให้เชยชมอยู่ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่เด่นสะดุดตาก็คงเป็นเขาลูกนั้น
เดินมาตามทางจนเห็น น้ำตก Svartifoss ในระยะไกล ช่างดูไม่เหมือนกับภาพที่เห็น อะไรมันจะแห้งแล้งขนาดนั้น มีน้ำไหลอยู่สายเดียว แถมสภาพเหี่ยวๆและโคตรแห้ง จะว่าไปรูปทรงมันคล้ายกับหัวใจเหมือนกันแฮะ
จากน้ำตก ก้ได้เวลาของลาบและส้มตำ ! ( ใช่เวลาหิวมั้ยเมิง )
ไม่ใช่ครับ ได้เวลาที่รอคอยแล้ว กับการเดินบนธารน้ำแข็งครั้งแรกในชีวิต !! แค่คิดก็ฟินล้ำหน้่าไปเรียบร้อย พอกลับไปถึงที่ออฟฟิสก็ได้เวลาพอดี โดยเค้าจะมีอุปกรณ์ยังชีพมาให้เราทั้งหมด 3 ชิ้น นั่นคือหมวกกันน๊อค รองเท้าเดินบนธารน้ำแข็งพื้นหนาม เอาไว้เฉาะกับน้ำแข็ง อันสุดท้ายคือไม้เท้าที่มีปลายแหลมและสามารถเจาะน้ำแข็งได้เช่นกัน อารมณ์ประมาณ ถ้าจะร่วงหรือกลิ้ง ก็ให้ไอเจ้ามั้ยเนี่ยเกี่ยวยึดเอาไว้
โปรดอย่าถามว่าพร้อมมั้ย …. รอยยิ้มสุดฟินนั้นคือคำตอบ เลทสะโกกกก
รถบัสคันโตคันนี้ กำลังพาพวกผมและคนแปลกหน้าอีกหลายคนไปสัมผัสกับธารน้ำแข็งพร้อมๆ กัน .. โดยจะมีไกด์มาคอยดูแลพร้อมกับอภิปรายขั้นตอนการเดินว่าต้องทำยังไง สถานที่ตรงนี้คืออะไร
เมื่อมาถึง ก็ยังไม่ถึงสะทีเดียว .. ไม่มีธารน้ำแข็งในระดับสายตา
รถบัสจะจอดอยู่ด้านหน้า จากนั้นไกด์ของแต่ละกลุ่มก็จะนำลูกทีมของตนเดินไปตามเส้นทางในหุบเขาเพื่อไปยังธารน้ำแข็งด้านใน .. ความชุลมุนเรื่องแรกคือการใส่รองเท้าเดินนี่แหละครับ มีความวุ่นวายพอสมควร ไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยไกด์ได้บอกกับพวกเราคนไทยเกี่ยวกับการฟังคำอธิบายต่างๆ ว่า
” โอ้ว คุณมาจากไทยใช่ไหม .. คนไทยเข้าใจอะไรง่ายๆ ผมดีใจที่มีคนไทยอยู่ในกรุ้ป ” เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยเชื่อ เพราะแค่การใส่รองเท้า กลุ่มพวกเรายังเสร็จเป็นกลุ่มสุดท้าย 55555
และความยากอีกอย่างงงคือการเดินนี่แหละครับ ต้องบอกว่าธารน้ำแข็งจุดที่พวกผมไปเดินมันเอียงระดับ 40 องศา หากพลาดท่าล้มกลิ้งไหลลงไปเมื่อไหร่นี่ ความปวดร้าวครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ยิ่งสูง ยิ่งเสียววว!
กลุ่มของผมประกอบไปด้วยพวกเรา 5 คนกับชาวต่างชาติอีก 7-8 คนรวม 15 คน ทุกคนเดินแถวตามท่านผู้นำเสมือนทัวร์ลูกเจี๊ยบแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ค่อยๆขึ้นไปอย่างช้าๆ ซ้ายที ขวาที ทุกก้าวต้องเฉาะน้ำแข็งให้มั่น และมีสติอยู่ตลอดเวลา …
นี่แหละครับ ธารน้ำแข็งที่เรากำลังเดินนน … ครั้งหนึ่งจะไม่ลืมเลยยย อะเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อยก็หยุด .. แต่หยุดนานไม่ได้ เพราะเราต้องไปพร้อมๆกัน
พอหันมองไปข้างหลัง .. ก็อยากจะยืนสตั้นอยู่ตรงนั้นสัก 15 นาที
เพราะอะไรน่ะเหรอ …
ชอทนี้น่าหวาดเสียวมาก เมื่อเพื่อนตัวป่วนนรองเท้าหลุด !! หากลื่นไถลลงไปนี่คิดภาพไม่ออกเลย ลองดูข้างล่างสิครับ โชคดีที่ไปต่อได้ …. ว่าแต่
นี่ไกด์ของเรากำลังอธิบายเรื่องความลึกและความเป้นมาของไอหลุมน้ำแข็งตรงนั้นอยู่
และแล้่วก็จะได้ไปชมถ้ำน้ำแข็งหรือ Ice cave สุดงามอย่างที่เคยเห็นภาพจากอินเตอร์เนทกันแล้ววว ตื่นเต้นนนนมากครับ ช่วงแสงสุดท้ายพอดี เวลาที่มีก็ไม่มาก หวังว่าจะฟินปิดท้ายได้อย่างสวยงาม …. ว่าแต่ทางเข้าแคบมากก มันใช่มั้ยฟะ
และเมื่อเข้ามาถึง ก็ทำให้พวกเราอ้าปากกกค้างงงงว่าา !!!
” ห่านนนนนนนนนนนนนนนน ” ไม่ใช่แบบบนี้ งือออออออออออออ ไม่เห็นเหมือนในรูปที่สำนักงาน ไม่เหมือนที่เห็นจากอินเตอร์เนทเลย นี่มันโรงน้ำแข็งบุญทึ้งหรือเปล่าเนี่ยยยย
มุมที่ดีที่สุด … เข้าไปข้างในก็ไม่ได้ สุดทางเท่าที่เห็น เล็กและแคบมากกกกก
ไม่ทันไร พี่ไกด์ก็อันเชิญทุกคนให้ออกจากถ้ำ เนื่องจากจะมืดแล้ว เดี๋ยวจะเดินลำบากกันไปใหญ่
อ่ะ ได้เวลาทัวร์ลูกไก่ตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งอีกครั้งจ้าา
ระหว่างเดินลง กลุ่มรั้งท้ายก็ไม่ใช่ใครอื่น คือนักเดินทางจากแดนไทยนั่นเองง ส่วนสาเหตุคืออะไร ภาพข้างล่างคือคำตอบครับ … คืนนี้ัฝันดีละ 🙂
________________________________________________
Day 10
พอตื่นขึ้นมา แล้วเดินไปเปิดประตู ดูท้องฟ้า กับอ้าปากรับลม แล้วได้ชมภาพแบบนี้มันสดชื่นขึ้นทันตาเลยครับ ฟ้าใสในวันสำคัญวันนึงของทริป เพราะโปรแกรมวันนี้มีการล่าแสงเหนือเข้ามาข้องเกี่ยวนั่นเอง ค่า KP ถือว่ามีลุ้นน เดี๋ยวไปลุ้นกันชั่วโมงต่อชั่วโมงอีกที …
เมื่อทุกคนพร้อม รถคันเดิมก็พาเรามายังที่หมายแรก ..
Fjadrargljufur Canyon ซึ่งเป็นน้ำตกท่ามกลางแท่งหินสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศ Iceland ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก และอยู่ระหว่างทางที่เข้าถึงได้ไม่ยาก
แต่แล้ว …. เป็นอีกครั้งที่น้ำตกหน้าหนาววววมันไม่เป็นไปอย่างที่หวัง จริงๆ ก้ไม่ได้หวังเอาไว้เยอะ แต่งวดนี้คือแห้งผากเลยครับบ
หากเราอยากกินน้ำตก ก็เข้าไปร้านส้มตกสักร้านแล้วก็สั่งน้ำตก .. ซึ่งถ้าน้ำตกหมด ก็ยังมีลาบ ส้มตำ ไก่ยิ่ง ให้อิ่มและฟินนเป็นการทดแทน แต่การจะมาดูน้ำตก .. แล้วน้ำตกมันหมดดด คืออออจบครับบบบ 555 ไม่เป็นไร ก็มีความสุขกับบบรรยากาศรอบๆ ตัวไป
แท่งๆ ที่เห็นนี่โดยมีความลึกถึง 100ม. ยาว 2 กม. โดยมีแม่น้ำ Fjaðrá ไหลผ่าน เกิดจากหินที่ถูกกัดเซาะจากธารน้ำแข็งเป็นเวลาหลายพันปี
เราเดินเล่นกันไปตามทาง ซึ่งเดินไม่ยากครับ เพราะเค้ามีทางให้เดินชิลๆ มีจุดแวะพักชิลชมวิววไปตลอดทาง
สักใบก่อนจะไปจากที่นี่ … ต่อจากกกนี้ล่ะ ช่วงเวลาสำคัญ !
แต่สิ่งที่ยังคงสำคัญตลอดเวลาที่ผ่านมาคือ ” ระหว่างทาง ”
จุดนี้ไม่มีอะไรมาก ขับรถผ่าน เห็นว่าสวย ก็เลยแวะไปถ่ายรูปโปรไฟล์กันคนละรูปหมุนเวียนกันตามอัธยาศัย
ช่วงที่อยู่บนรถ เราได้เห็นธารน้ำแข็งขนาดมหึมาอยู่บนเขาเรียงรายกันแบบไม่มีขาดสาย จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทางถึงรู้ว่า ธารน้ำแข็งที่เราเห็นคือส่วนหนึ่งของ ธารน้ำแข็งที่มีชื่อว่า Breiðamerkurjökull ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน Vatnajökull glacier
ยิ่งใหญ่และอลังการจริงๆ ทราบมั้ยครับ ว่าเจ้าน้ำแข็งเหล่านี้ หลังจากที่มันละลายแล้ว ส่วนหนึ่งมันเดินทางไปที่ไหน ?
ส่วนหนึ่งก็ลอยมาตามทะเล แล้วมาโผล่บนชายหาดสุดคูลแห่งนี้ …
Diamond beach !!! หรือ หาดเพชรสุดเจ๋งที่อยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมต้องชื่อ Diamond beach ทุกคนคงเดาได้ไม่ยากก เพราะเจ้าน้ำแข็งเหล่านี้มันใสวาววับยังกับเพชร ส่วนหาดทรายก็เป็นสีดำ ทำหน้าที่เสมือนพรมที่เป็นแบคกราวด์ของเพชรเวลาที่เค้าตั้งโชว์ยังไงยังงั้น
ก่อนหน้านี้อาจจะมีหลายคนสงสัยว่าเจ้าน้่ำแข็งพวกนี้มันมาจากที่ใด มีรถขนน้ำแข็งเข็นมาส่งหรือเปล่า คำตอบก็อย่างที่ได้กล่าวไปครับ ว่าไม่ใช่ทั้งนั้น ^^
นอนได้หมด ถ้าสดชื่นนนนนนนน … แต่ตรงเนี้ยยยลื่นนนมากกก แอคท่าได้แปปเดวก็ไหลตลอด 555
เนื่องจากเรามาถึงกันเกือบๆ 4 โมง พระอาทิตย์ก็กำลังจะชิ่งหนีเรากลับบ้านอีกครั้ง !! เดี๋ยวเมิงง ใจเย็นนน อยู่ต่อก่อนได้ไหมมมมมม ยังไม่ได้ไปถ่ายภาพในช่วงแสงสวยๆ ของอีกที่เลยโว้ยยย
เอาล่ะครับ หลังรวมพลกันได้ เราก็ออกรถขับไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของหนึ่งสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศ Iceland และความพีคประจำวันนน !! ที่นี่
” Jökulsárlón Lagoon ” ในที่สุดก็ได้มาเห็น
Jökulsárlón Glacier Lagoon หรือแปลตรงๆว่า ทะเลสาบธารน้ำแข็ง เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกเฉียงใต้ของ Iceland อยู่ติดขอบอุทยานแห่งขาติและอยู่ด้านบนของธารน้ำแข็ง มีขนาดประมาณ 18 ตารางเมตร ด้วยความลึกถึง 248 เมตร ทะเลสาบ Jökulsárlón Glacier Lagoon จึงได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในไอซ์แลนด์ และเมื่อเร็วๆนี้ ทะเลสาบได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4 เท่าตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก โดยมีภาพยนต์อยู่หลายเรื่องที่ได้มาถ่ายทำที่นี่ เช่น A View to a Kill, Die Another Day, Lara Croft: Tomb’s Raider และ Batman Begins
ในรูปว่ามันงดงามและอลงัการแค่ไหน ของจริงจากดวงตาสองดวง สีดำสอง สีขาวสอง มันสวยกว่าในรูปเยอะจนไม่มีคำอธิบาย … ฟินนนระดับบบบสูงสุดดดดกันทุกคน
เราปักหลักเก็บภาพแสงสุดท้ายกันที่นี่
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะเราจะรอแสงเหนือให้ฉายฉาบน่านฟ้าในค่ำคืนนี้บริเวณเจ้าธารน้ำแข็งแห่งนี้อีกด้วยยย ไม่นานนักแสงสุดท้ายของวัน ก็กำลังจะหมดไป
ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือโลกมนุษย์ ….
นึกว่าาาอยู่ในร้านขายน้ำแข็งใส .. ไหน เอาน้ำแดง กับนมข้นหวานนมาราดซิ!
ภารกิจรอแสงเหนือในวันนี้ช่างยาวนาน … ตั้งแต่ 5 โมงเย็น
หก เจ็ด แปด เก้า ….. ห๊าววววววววววววววววว หนาวมากกกกก เริ่มง่วง แต่หลับไม่ลงงง เพราะมันกำลังเริ่มมมมแล้วววว … อะไรเริ่มน่ะหรออออ
แสงเหนืองายคร้าบ !! กำลังฉาย ถ่ายทอดสดจากบนฟ้าาาา สวยงามมมมจริง ขอยืนยันว่าเห็นมันเต้นได้ด้วยตาเปล่า สุดยอดดดดครับ ไม่ผิดหวังง เสียอย่างเดียวที่ไม่ระเบิดมาก และตอนหลังดันมีเมฆก้อนใหญ่มาบดบังซะมิด … ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ฟินแล้วว
ขอปฎิญาณตรงนี้เลยว่าาา จามาหาแสงเหนืออีกครั้ง !! ( แสงเหนือคืออะไร ดูยังไง มีวิธีอยู่ในตอนแรกนะครับ )
________________________________________________
Day 11
ใกล้แล้วว ….. พรุ่งนี้จะต้องออกจากประเทศ Iceland แดนสวรรค์ของธรรมชาติ
จะว่าไปก็ใจหาย อยากอยู่ให้นานกว่านี้ แต่ด้วยความที่ภารกิจของแต่ละคนก็รัดตัวกันไป จึงมีเวลาเพียงแค่ 7 วัน ยิ่งกว่าฝันใน Iceland
เราออกกันแต่เช้า เพื่อยิงตรงเข้าไปเที่ยวในเมือง Reykjavik ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ระหว่างทางยังคงงดงามม จุดนี้คือทุ่งมอส หากมาในหน้าร้อนมันจะสีเขียวสวยงาม แต่หากมาในหน้าหนาว ก็จะเหี่ยวๆ ขาวๆ อย่างที่เห็น สวยแปลกตาไปอีกแบบ
ไปต่อ !! … อยู่กับธรรมชาติมานาน ได้เวลาคืนสู่ความเป็นเมืองเสียที
จากน้ำตก ภูเขา ทะเลสาบ ทุ่งหญ้า … ก็เริ่มได้เห็นตึกรามบ้านช่องกันบ้างง
และในที่สุดก็มาถึงเมือง Reykjavik จนได้
เรคจาวิค (Reykjavik) เป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของโลก ไม่ธรรมดานะครับจุดนี้ โดยเมืองนี้ได้ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2329 เรคจาวิค (Reykjavik) มีประชากรทั้งหมด 200,000 คน หรือประมาณ 60% ของประชากรทั้งหมดทั้งประเทศ 300,000 คน ถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับขนาดของประเทศ ไม่ต้องสงสัยครับ ตามธรรมชาติ จุดท่องเที่ยว แถบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย ส่วนมากก็อยู่ในเมืองหลวง แล้วก็กระจายไปตามเมืองต่างๆ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือซะส่วนใหญ่
นี่เป็นบรรยากาศในตัวเมืองครับ บรรยากาศเรียบง่าย สไตล์ยุโรปผสมแสกน
และมองตรงไปก็เห็นโบสถ์หลักประจำเมืองครับ เดี๋ยวจะไปหาแน่นอน .. แต่ตอนนี้ ….
ขอเข้าไปจับจองที่นอนห้องพักกันก่อนนน ทำเลดีมากก เป็น Apartment เปิดให้เช่าา ห้องอย่างสวยยยย มีทุกสิ่งงที่คอนโดพร้มอยู่ควรจะมี
ทำอะไรกันเสร็จก็ได้เวลาเดินเล่นน เมืองนี้เป้นเมืองที่ชิลมากครับ บ้านเมืองสะอาดดด ส่วนตัวผมว่าน่าอยู่เลยแหละ ดูแล้วมันอยู่ในความพอดีในหลายๆ ด้านทั้งบ้านเรือน สิ่งอำนวยความสะดวก ความชิล .. แต่ที่ไม่พอดีคือค่าครองชีพนี่แหละ ราคาร้านอาหารแต่ละร้านนี่ เปิดเมนูดูทีไรต้องร้องเจี้ยกกกทุกที ( เค้าไม่มีกล้วยให้เมิงกินสินะ )
เดินเรื่อยเปื่อย โดยมีเป้าหมายอยู่ริมน้ำ …
และอาคารนี้ !!
Harpa (ฮาร์ปา) หรือคอนเสิร์ตฮอลล์แห่งใหม่ สวยงามเรียบหรูดูมีมิติ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรมาเยี่ยมชมให้ได้ครับ ด้วยสถาปัตยกรรมที่โมเดิร์นทั้งภายนอกและภายใน (โดยเฉพาะภายใน) ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกเดนมาร์ก เฮนนิ่ง ลาร์เซ่น (Henning Larsen) และสถาปนิกไอซ์แลนดิกชื่อดัง โอลาฟูร์ อีไลสัน (Ólafur Elíasson)
ส่วนค่าใช้จ่ายก็เรียกว่าว้าวเลยแหละ อยู่ที่ 164 ล้านยูโร หรือกว่า 5,650 ล้านบาท !! เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งแน่นอนครับ วิกฤติเศรษฐกิจโหมกระหน่ำในปี 2008 ก็ทำให้โครงการนี้เกือบจะดีเลย์ แต่ก็สร้างเสร็จในปี 2011 ด้วยเงินสมทบจากรัฐบาลนั่นเอง
จากนั้นก็เดินไปจนถึงริมน้ำ ดูวิวเมืองสวยๆ ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ
เช่นเคยกับแสงสุดท้ายประจำวัน ..
แต่ที่ไม่มีเหมือนกันคือ ครั้งนี้จะเป็นแสงสุดท้ายครั้งสุดท้ายในประเทศ Iceland ของพวกเราแล้ว ใจหายยยวูบบบบบ
เดินมาเรื่อยๆ จนถึงโบสถ์แลนด์มาร์คหลักของประเทศ
โบสถ์ Hallgrímskirkja (ฮัลกริมสเคียร์ค่า)
ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์ลูเธอรันที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นและมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากที่สุดในประเทศ โดยชื่อของโบสถ์ตั้งตามชื่อกวีและนักบวช ฮัลกริมูร์ เพทูร์สัน (Hallgrímur Pétursson) โบสถ์ที่มีความสูง 73 เมตรแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิก กุธยอน ซามูเอลสัน (Guðjón Samúelsson) ตั้งแต่ปี 1937 เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1945 และเสร็จเมื่อปี 1986 หรือสร้างกันยาวนานถึง 41 ปีเลยทีเดียว นานมากครับ แต่คงไม่มีโบสถ์ไหนสร้างนานเหมือนที่ Barcelona บะ ทุกวันนี้พี่แกก็ยังไม่เสร็จ
ไม่นานนักเราก็กลับที่พัก และระหว่างที่เชคค่า KP เล่นๆ มันบอกว่า คืนนี้ที่เมือง Reykjavik มีโอกาสเห็นแสงเหนือออ !! โอ้วคืนสุดท้าย โอกาสสุดท้าย ก็รออัลไล ไปสิครับบ !!
ทุกคนพร้อมใจกันคว้ากล้อง เสื้อกันหนาว ขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังจุดที่สามารถเห็นแสงเหนือได้ทันที นั่นคือจุดที่มืดที่สุด และมนเมืองแบบนี้ ริมทะเลคือคำตอบที่ใช่ครับ
ไม่นานนนักกก …. แสงเหนือที่รักก็โผล่ขึ้นมา พาดผ่านขอบฟ้าแบบบบางเบา เขย่าหัวใจพวกเราเป็นการส่งท้ายทริป และส่งเราเข้านอนคืนนี้ …. หลับฝันดีอีกครั้ง ^^
________________________________________________
Day 12
วันสุดท้าย .. แต่ยังไม่ท้ายสุด ….. ท้ายสุดแล้วเว่ยยย !!
จะกลับแล้ววคร้าบบ ก่อนกลับขอแวะ Blue lagoon กันก่อน แต่ด้วยเวลาที่ไม่อำนวยย ไม่มีเวลาเข้าไปด้านใน เลยได้แต่มาถ่ายรูปมันจากด้านนอกแทนน น้ำตาจะไหลลลล >< 555
ไม่เป็นไร .. เราอาจจะได้มาที่นี่ใหม่ก็ได้
ยินดีที่ได้รู้จักกันนะ Iceland !! Till we meet again โชคดี
ก็ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะครับ และตอนจบของทริปนี้ตอนนหน้า ” Poland ” แล้วพบกันครับ ^^